วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวหาดใหญ่-สตูล-เกาะกังลาวี @มาเลย์ ชิ่วๆ กับครอบครัว by kanumchan


สวัสดีค่ะ สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ ของใครที่เบื่อๆเซงๆ ไม่รู้จะไปไหนดี มีเวลาสัก 2 -3 วัน ก็สามารถเปไปเที่ยวตามทริปนี้ได้นะค่ะ ก่อนอื่นต้องท้าวความว่า นานๆครั้งที่ครอบครัวจะมีเวลาพร้อมหน้าพร้อมตา เนื่องจากแต่ละคนทำงานเรียนบ้างอยู่คนละทิศละทาง เมื่อถึงวันหยุดทั้งทีเลยขอจัดสักหน่อย ไปเที่ยวแบบไม่ได้หาข้อมูลอะไรทั้งสิ้น เรียกว่าไปตายเอาดาบหน้าเหมือนเคย คริๆ และเนื่องจากพ่อและแม่อยู่หาดใหญ่ ซึ่งการเดินทางไม่ไกลมากจากสตูล งานนี้เลยคิดว่าไปสตูลกันดีกว่า เมื่อมติเป็นเอกฉันท์ ก็ออกเดินทางได้เลย งานนี้เราขับรถกันไปเองค่ะ ออกจากหาดใหญ่สาย อ.รัตภูมิ มุ่งตรงไปสู่ จังหวัดสตูลค่ะ โดยเป้าหมายของเราในครั้งนี้คือ เกาะลังกาวี  ระหว่างทางเห็นป้ายน้ำตกบริพัตร ซึ่งน้ำตกนี้เคยไปสมัยตอนเด็กมากกๆ เลยอยากย้อนวัย เมื่อเป็นเช่นนั้นเลยเลี้ยวเข้าด้วยไม่ลังเล

น้ำตกบริพัตร

นางแบบของเรา น้องสาวเองค่ะ 

กิจกรรมที่สามารถทำได้ที่น้ำตกบริพัตร ก็ได้แก่ เล่นน้ำ เย็นชื่นใจ บริเวณน้ำตกจะมีร้านส้มตำ และร้านเช่าหวงยางสำหรับเด็กที่ต้องเล่นน้ำแต่ว่ายน้ำไม่เก่ง โดยทั่วไปคนที่มาเที่ยวจะเป็นคนท้องที่ ที่มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ด้านล่างของน้ำตกจะเป็นที่สำหรับนั้งรับประทานอาหาร สำหรับครอบครัวหรือคู่รัก มาใช้เวลานั้งเล่นปิกนิกก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจเลยที่เดียว 


ยืนเรียงหน้ากันบังวิว
ผ่านทางสตูลเลยแวะเข้าด่านชายเดนประเทศมาเลย์สักหน่อย ที่ด่านมาเลย์ส่วนใหญ่รายได้หลักของด่านคือ การขายของปลอดภาษี ที่คนไทยต่างหลั่งไหลเค้ามาไม่ขาดสาย แต่สำหรับครอบครัวเราก็ไม่ได้ซื้ออะไรมาติดไม้ติดมื้อทั้งสิ่น เนื่องจากของส่วนใหญ่จะคล้ายกับที่หาดใหญ่เลยไม่ดึงดูดใจเท่าไร 
คร้าา
Selamat datang ยินดีต้อนรับค่ะ 

จากนั้นก็แวะทะเลบัน ที่ทะเลบันบรรยากาศดีมากเหมือนเมืองในหมอกเลยค่ะ ในอุทยานแห่งชาติทะเลบันมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยนะค่ะ และในบริเวณทะเลบันก็มีน้ำตก สวยงามมากก น่าไปมากค่ะ แต่เป็นที่น่าเสียดายมาเพราะตอนไป กล้องเบ็ตหมดพอดีเลยได้แค่ชมบรรยากาศไม่มีรูปมาฝาก ถ้าได้ไปโอกาสหน้าจะเอารูปมาฝากนะค่ะ เมื่อเดินชมบรรยากาศทะเลบันอย่างเต็มอิ่มแล้วก็เดินทางไปยังที่พัก ซึ่งที่พักครั้งนี้ ได้รับความอนุเคราะห์จากเพือนของพ่อ เลยไม่ต้องเสียค่าใช่จ่ายที่พักหนึ่งคืน พอรุ่งเช้าประมาณ 6 โมงค่ะ มุ่งหน้าไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ ไปลังกาวีค่ะ ค่าเรือ เที่ยวละ  300 บาท ต่อคน ไปกลับก็ 600 บาท คราวนี้เราไปเช้าเย็นกลับ เลยเที่ยวไม่ได้ทั่วมากเท่าไร


ถ่ายคู่กับคุณพ่อ ตอนเช้าด่านค่ะ 
สำหรับคนที่สนใจไปเที่ยวถ้าไม่มีพาสปรอตก็สามารถ  border pass ได้นะ ค่ะ อยู่ได้ประมาณ 3 วัน 2 คืน แนะนำให้ไปรอบเช้านะค่ะ ถ้าไปรอบสายๆ เรือจะออกช้าแล้วจะเที่ยวไม่สนุกค่ะ แต่ถ้าสำหรับบางคนที่ไม่รีบเร่งก็สามารถนอนค้างคืนได้ โรงแรมมีหลายระดับรายราคา ตามกำลังกระเป๋าค่ะ  

ถ่ายคู่กับเรือสักหน่อย

บรรากาศระหว่างการเดินทางค่ะ 

สำหรับคนที่เคยไปเที่ยวแถวพังงา บรรยากาศระหว่างเดินทางไปเกาะลังกาวี ทำให้นึกถึงบรรยากาศแถวพังงา ทะเลไทยบ้านเรามากๆค่ะ ทำให้รู้สึกว่า ทะเลบ้านเราก็ไม่แพ้ใครในโลกล้าาา...



มาถึงแล้วค่ะ พาครอบครัวมาปล่อยแก่ 

เมื่อมาถึงก็สามารถมาเช่ารถได้นะค่ะ ค่าเช่ารถยนต์อยู่  50 - 80 RM  ค่าน้ำมันที่เกาะลังกาวีถูกมากค่ะ ลิตรละ  18 บาท สำหรับคนที่ต้องการนำรถมาเองสามารถเอามาได้ที่ท่าเรือปากบาราค่ะ แต่ต้องแปลทะเบียนรถให้เป็นทะเบียนมาเลย์ ป้ายสีดำๆก่อนนะค่ะ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เที่ยวบ่อย แนะนำให้มาเช่ารถก็ได้ค่ะ ประหยัดกว่า 





บรรยากาศรอบๆค่ะ 

เนื่องจากคุณแม่มีความต้องการแรงกล้าจะไปเยื่อนบ้านพระนางมัณสุหรี สักครั้งหนึ่งในชีวิต เลยไม่รอช้ามุ่งไปพิพิธภัณฑ์ กันเลย ค่าบัตรราคา 15 RM บรรยากาศภายในก็ ประกอบร้านขายของที่ระลึก มีพิพิธภัณฑ์ เล่าความเป็นมา ประวัติของพระนาง และตำนานคำสาป  และบ้านที่พระนางเคยอาศัย และที่ฝังพระศพ 

ที่ฝังศพของพระนาง
ทางเข้าชมค่ะ 
บัตรเข้าชม 15 RM 
บรรกาศภายในเป็นแนวย้อนยุคค่ะ จะเป็นวิวทุ่งนางที่อยู่ข้างบ้าน แต่ข้อเสียคือไม่มีการบรรยาย รายละเอียดสักเท่าไร ดังนั้นหากนักท่องเทียวท่านใดที่ไม่รู้ประวัติมาก่อนก็จะงง และเดาๆสถานการณ์กันเอง คริๆ
บ้านของพระนางสมัยอาศัยที่ยังคงมีชีวิตอยู่  อีกด้านคือรูปของพระนางค่ะ

ป้ายทางไปบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

พรีเซ่นเตอร์สาวคนเดิม ที่มึทุกงาน 
เค้ามีการบรรจุขวดขายด้วยนะค่ะ ราคา 8 RM ขวดละ 80 บาท

หลังจากเดินเล่นกินลมชมวิว ในพิพิธภัณฑ์พระนางมสุหรี แล้ว ก็เริ่มหิ่วเลยคิดว่าจะไปหาของกินสักหน่อย แต่ก่อนจะไปขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วกันค่ะ เนื่องจากเกาะลังกาวีแปลว่า นกอินทรีย์สีน้ำตาลเข้ม

แอบถ่ายรูปอย่างเร็วรี้ 

ที่บ้านอยากจอย ในภาพด้วยรีบเข้ากล้องอย่างเร็วเลยที่เดียว

หลุมฝังศพค่ะ ว่ากันว่าใครมาแล้วอธิฐาน แล้วจะสมหวัง เว้นแต่เรื่องความรักนะ 

หลังจากที่หาอะไรทานเรียบร้อยแล้วก็มาผจญภัยกันต่อคะ มานี้เลยเคเบิ้ลคาร์ ประจำเกาะลังกาวี ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อด้านความสูงที่สุดในโลก สำหรับคนที่ชอบความหวดเสี่ยว มาที่นี้ถือว่า คุ้มค่าค่ะ 



ด้านหน้าทางเข้าค่ะ 

มาแล้วไม่รอช้าหาตั๋วกันค่ะ ราคา บัตรเคเบิ้ลคาร์  30 RM ค่ะ เหลือบเห็นว่าราคาชาวต่างชาติกับชาวมาเลย์ คนละราคากันนะ นอกจากเคเบิ้ลคาร์แล้วที่นี้มีโรงหนังแอนนิเมชั่นด้วยนะ

บรรยากาศรอบ Oriental Village สำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูป คิดว่ามาที่นี้ต้องถูกใจอย่างแน่นอนค่ะ
อีกรูปคะ แต่น่าเสียดายมากที่ตอนไป ทัศนวิสัยไม่ค่อยจะดีเท่าไร ที่ฝนเหมือนกำลังจะตก เลยไม่ได้ถ่ายรูปมากนะ ต้องเร่งไปที่ cable car ซะก่อน เนื่องจากกฎของที่นี้เค้าเข้มงวดมาก หากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ต่อการนั้งชมเค้าก็ไม่ให้ขึ้นค่ะ 



ขึ้นนั้งสักที เนื่องจากเป็นคนกลัวความสูงมาก เลยมือสั่น ถ่ายรูปบรรยากาศไม่ได้เลย อิอิ
ตลาดกัวร์ เป็นที่ขายของ Duty fee  ของส่วนใหญ่ราคาต่างจากบ้านเราไม่มาก แต่ถูกกว่า ส่วนใหญ่คนจะนิยมซื้อพวกเครื่องชาม จานสวยๆ แล้วพวกช็อคโกแล็ตค่ะ มีหลายยี่ห้อให้เลือกเยอะมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะข้างในคนเยอะมาก 


ระหว่างค่อยที่บ้านเลือกซื้อสิ้นค้าแอบเห็นป้ายทะเบียน KV= Langkavi ค่ะ 

ธงประจำรัฐลังกาวีค่ะ มีรวงข้าวด้วย จากการสอบถามได้ความว่า รัฐลังกาวีคืออู่ข้าวอู่น้ำของมาเลเซียค่ะ เลยมีสัญลักษณ์รวงข้าว

ก่อนจากไป ก็จัดรูปอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของเกาะนี้สักหน่อย แต่ได้มุมไกลๆค่ะ เพราะต้องรีบขึ้นเรือ ทริปนี้มีเวลาน้อย ถ้ามีโอกาสได้มาอีกจะเก็บรายละเอียดเต็มๆให้นะค่ะ 



วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

ต่อจากตอนที่ 1 เที่ยวจาก ภูเก็ต - ขอนแก่น - ลาวไม่ง้อทัวร์ ลุยๆ by kanumchan



รูปนี้ถ่ายคู่กับน้องสาว
ยื่นกลางถนนถ่ายรูปคู่กับตึกตลาดเซ้า


วันนี้ตื่นแต่เช้าด้วยอากาศสดชื่น เมื่องเวียงจันทร์อากาศดีคนไม่พลุกพล่าน  เมื่อตักบาตรเสร็จก็อาบน้ามแต่งตัว อ่อ อย่าลืมแปรงฟันด้วยนะ คริๆ เมื่อได้เวลาก็เดินไปหาอะไรกินที่ตลาดเช้ากัน จากเฮือนริต้าไปตลาดเช้าใกล้มากค่ะ ประมาณ 200 เมตร น่าจะได้ ไปถึงก็ถามแม่ค้าว่าตลาดเซ้าเปิดกี่โมง เค้าบอกว่าตลาดเซ้าอะเปิดแล้ว แต่ร้านข้างในบ่เปิด เราก็งงเอ๋ แล้วเค้าเปิดยัง ก็เดินงงไป เลือบเห็นเยื้องเป็นตลาดสด เลยลองลัดเลาะเค้าไป ด้านหน้าเหมือนไม่คึกคักเท่าไร แต่พอเข้าไป โอ้แม่เจ้า คนคักๆๆ กะเจ้า อิอิ 


ปากทางเข้าตลาดมีหมูหั่นขาย เห็นแล้วน่าทาน ขอซื้อเป็นขีด เค้าบอกว่าที่นี้เค้าขายเป็นกก.ค่ะ สงสัยขายส่ง อิอิ 

ทางเข้าเหมือนจะไม่มีคนเท่าไร 

แต่พอเข้าไปคนเยอะนะเนี่ย

คล้ายๆตลาดสดบ้านเรา แต่ของเค้าขายล็อตใหญ่ 

น่าจะเป็นตลาดค้าส่งอะไรประมาณนั้น เข็นเป็นรถเลย



เป็นรังผึ้งสดค่ะ พร้อมน้ำผึ้งสด ซื้อมา 3 ขวด 200 บาท ถือว่าไม่แพงนะค่ะ 

ลักษณะเหมือนยาเส้นนะ


เป็นรังผึ้งย่างกับนม รสชาติมันๆแต่มีเปรี๊ยวแปลกดี

มันดิบ ลองบีบดูมันมีน้ำสีแดงเข้มออกมาไม่แน่กินว่าเอาไปกินหรือใช้ย้อมสี 

จากการเดินเที่ยวตลาดสดแล้วและได้ลองกินอาหารท้องถิ่นไปพอสมควร แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่หน่ำใจ ระหว่างเดินกลับไปตลาดเซ้าอีกครั้ง เผอิญไปเห็นร้ายแผงลอยขายอะไรสักอย่างเลยเข้าไปถาม ได้ความว่าเจ้าสิ่งนี้คือ บั๊นเอี๊ยน ถ้าออกเสียงไม่ถูกก็โปรดอภัยกันนะ รสชาติคล้ายขนมปากหม้าบ้านเราอะ แต่มันมี หมูยอ หมูสับ แล้วก็ผักผัดปนๆกัน แล้วห่อด้วยแผ่นก๊วยเตี๋ยว โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว แล้วลาดด้วยแจ่ว แจ่วนี้คือน้ำจิ้ม รสชาติ ลำขนาดดด  คริ จากนั้นต่อด้วยปลาสลิดทอก แล้วหมูแดดเดียว ข้าวเหนียว ข้าวโพดข้าวเหนียว แล้วขั้นตอนต่อไปคือ ลงมือรับประทานค่ะ 

บั๊นเอี๊ยน 10000 กีบ

หมูแดดเดียว ขายเป็นพวงเลยค่ะ  5000 กีบ 
เมื่อกินอิ่มก็กลับสู่ที่พัก ไปเอารถจักรยานไป แว๊นๆ ย่อยอาหารแถวริมฝั่งโขง เพื่อดูแผ่นดินบ้านเรา ที่ฝั่งตรงข้าม ช่วงที่เดือนทางตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ อากาศก็ร้อนพอควรเลยทีเดียว 
ร้อนที่สวดดด นะ

พระเจ้าอนุวงค์ กษัตริองค์

พักเหนือยค่ะ วันสุดท้ายรู้สึกว่าหมดสภาพ ไร้ซึงเรี่ยวแรง 


ความร่วมมือของการปรับภูมิทัศน์ของทั้งสองประเทศ

นอกจากก็ไปที่พิพิภัณฑ์เวียงจันทร์มาด้วยค่าเข้าคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 40 บาท เค้าห้ามถ่ายรูปด้านใน เลยถ่ายสมุดเยี่ยมที่ไปเยือนมาฝากก็แล้วกันนะค่ะ

สมุดเยี่ยม

หน้าหอประชุมวัฒนธรรมแห่งชาติ อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติค่ะ


ส่วนสุดท้ายและท้ายสุด 

บาเก็ต 40 บาท