วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวจาก ภูเก็ต - ขอนแก่น - ลาวไม่ง้อทัวร์ ลุยๆ by kanumchan


หลังจากที่เรียนเหนื่อยๆ ปนขี้เกียจบ้างวันนี้ก็อยากจะบอกกล่าวถึงประสบการณ์ไปเที่ยวเมือง เวียงจันทร์ ประเทศลาว การไปเที่ยวครั้งนี้ถือว่าโชคดีมาก เพราะเป็นช่วงประจวบเหมาะกับการไปนำเสนองานวิชาการที่ ม.ขอนแก่น โดยการเดินทางครั้งนี้ ก็เลยทุ่นค่าใช้จ่ายตอนนอนอยู่ขอนแก่นไปได้บ้าง ไม่อยากพูดพร่ำทำเพลง ก็จะลองรีวิวมาให้ได้อ่านนะ (ตื่นเต้นๆๆ ครั้งแรกที่รีวิวให้เพื่อนๆได้อ่านนะ)

เริ่มจากเดินทางไปสนามบินภูเก็ตด้วย airport bus ที่หน้า Central Festival Phuket ซึ่งค่าใช่จ่ายสำหรับค่ารถต่อคนก็อยู่ราว 90 บาทนะค่ะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ถึงสนามบิน ระหว่างทางก็กินลมชมวิวไปก่อน วันนั้นนายหัว (พี่คนขับรถ) ขับแว๊นได้ใจมากค่ะ ทำเอาเมารถเลยที่เดียว

เมื่อมาถึงสนามบินก็เช็คอินด้วยตู้ของ airasia จ่ายค่าตั๋วขาไปในราคา 1980 บาท ประมาณว่า 2000 ละกันนะคิดง่ายดี จากที่ใช้เวลาเดินทางไปชม. และก็ออกเดินทางแต่เช้า ทำให้เกิดอาการหิวขึ้นมากระทันหัน แต่โชคดีมาก ที่มีข้าวเหนี่ยวไก่ในกระเป๋า เลยไม่อยากรอช้า เอาขึ้นมากินทันที ดูไฮโซไม่แค่สื่อมาก 55+


















อ่อลืมบอกไปว่ามีเพือ่นร่วมเดินทางจากภูเก็ต อีกคนสองคน คือ เอ็ม และอาร์ม ในรูปนี้คือคุณเอ็ม เจ้าตัวคงเศร้าเอามาเปิดเผยซะ


ละแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องนะค่ะ ใช้เวลาจากสนามบินภูเก็ต ถึง สนามบินอุดร ประมาณ 1.45 นาที แล้วก็ถึงสนามบินอุดร เนื่องจากไม่เคยมาอีสานเลยตั้งแต่เกิดมาในชีวิต ก็เอาซะหน่อย ของแชะสักรูปสองรูปแล้วเดินทางต่อ
ระหว่างนั้งเครื่องมารู้สึกประทับใจคุณป้ากลุ่มนี้มากค่ะ รวมๆแล้วอายุก็มาหลายนะ แต่หัวใจยังสาวอยู่เลยคุณป้ามาเป็นเดอะแก๊ง เที่ยวกันตะบี้ตะบัน ทริปนี่คุณป้าบอกว่าจะไปเวียดนาม ว้าาวววยังไม่เคยไปเลยต้องลองสักครั้งนึง
เมื่อมาถึงแล้วก็มาหารถต่อไปยังที่หมายของเรากันก่อนค่ะ ตอนมาถึงก็พยายามถามราคาค่ารถที่ เลยปรึกษาพี่เจ้าหน้าที่ พี่แกบอกไปเท็กซีนะ 3 คนคิดเหมา 280 บาท ไปบขส.อุดร เพื่อต่อคนไปขอนแก่น  แต่ไอเราก็นะสองร้อยกว่าก็แพงนะ เลยไม่ยอม เดินออกไปสักหน่อยเดินไปไม่ได้ก็เจอรถสามล้อ คนที่นี้เรียกว่า สกายเล็ป เค้าคิดราคา 150 บาท ก็โอเครับได้เลยไปกัน เฉลี่ยคนละ 50 บาท


พบขับมาเรื่อยๆก็รู้สึกว่าไกลกว่าที่คิดแหะระหว่างสนามบินอุดร กับ บขส. ราคาประมาณนี้ก็เลยคิดว่ายอมรับได้ คุณลุงก็อัธยาศัยดีนะ ก็คุยไปเรื่อยถามข้อมูลแกบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่ของกิน 
ละแล้วก็ถึงบขส.อุดร ยังไม่ทันได้หายไปพอลงรถปั๊บ ก็ต้องรีบไปขึ้นรถขอนแก่นทันที เพราะรถกำลังจะออก ค่าโดยสารจากอุดรไปขอนแก่น ราคาคนละ 80 บาท สภาพรถก็รถเมล์ธรรมดาทั่วไป ขับแบบชิวๆมาก อาจเป็นเพราะคนที่นั้นไม่ได้รีบร้อนเหมือนในเมืองมั๊ง ใช้เวลาประมาณ 4 -5 ชม. ก็ถึงบขส.ขอนแก่น จร้าา 
บรรยากาศระหว่างทางก่อนพระอาทิตย์ตก


มาถึงที่บขส.ขอนแก่นกันละ คริ ครั้งแรกของพวกเรา ขอสักรูป 
จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่พักค่ะ ครั้งนี้เราพักกันที่โรงแรม Orchid Konkean Hotel ไม่ไกลกันมากกับ Central Plazza เจ้าของก็อัธยาศัยดีคะ ซึ่งเรานั้งรถสกายแล็ปไปที่พัก ราคา 50 บาท ก็ใช้เวลาไม่มากนะประมาณไม่เกินห้านาทีก็ถึงที่พัก เมื่อมาถึงก็ไม่รอช้า รีบเช็คอินแล้วเก็บข้าวเก็บของแล้วก็ ออกหาที่กินเก๋ๆกัน เราลงมติกันว่าจะไปตลาดต้นตาล เพราะรีวิวมาว่าของเยอะแล้วบรรยากาศน่านั้ง อีกอย่างก็ไม่ไกลมากจากที่พักค่ะ พวกเราก็เดินทางไปหน้า Central Plazza แล้วนั้งเท็กซี่ไปค่ะ เค้าว่ากันว่าที่ขอนแก่นเท็กซี่ไม่ชอบกดมิเตอร์ ดังนั้นเราอาจจะโดนฟันแพงได้ แต่โชคดีคันนี้เค้ากดมิเตอร์ ค่ารถก็เลยราคาไม่มากอยู่ที่ 38 บาท สำหรับนั้งสามคนก็โอเคนะ 
ถึงแล้วค่ะตลาดต้นตาล

ขอมาถ่ายรูปมุมที่เค้าชอบรีวิวกันนะ


แก้วนี้ไม่แพง 25 บาท น้ำสมคั่นปั่นหอมหวาน

ได้เดินได้เที่ยวแล้วมาฟังเพลงชิวๆ เบากันจร้าา

ร้านนี้แนะนะเลยค่ะ ส้มตำเค้าเหมือนลวกปูให้สุกด้วยนะ อร่อยม๊วกก โอ๊ยน้ำลายไหล

ได้ร้านอาหารที่ชอบ ได้ของกินงั้นเรามาหามุมเหมาะๆรับประทานโล๊ดด

อาหารเริ่มทะยอยมา พาผู้ชายไปสองคนดีอย่างนี้นิเอง เราเฝ้าโต๊ะสุภาพบุรุษหาของกิน ลาบปากเลย

ชิ้นนี้ชินละ 25 บาท ขอสองชินนะ

ส้มตำสสีสันลัจวนใจ

หมูซี่โครงคร้าาแซ่บที่สุด 

หมูมะนาว จานนี้ 50 บาท รวมค่าน้ำ ค่าข้าวทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 215 บาท 

กินอิ่มกันละมาเดินชมรูปสวยที่ แกลลอรี่กัน ที่นี้เค้ามีภาพให้เค้าชมด้วยนะ ขอบอกว่า ฟรีคร้าสำหรับค่าชมแต่ถ้าใครชื่นชอบผลงานรูปไหน เค้าก็ยินดีขายนะ 

ไหนๆก็มาละเขียนหนังสือเยี่ยมชมสักหน่อย และก็ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานก็เป็นอันจบพิธี

มุมบนของแกลลอรี่ภาพค่ะ 

ที่นั้งด้านบนก็บรรยากาศดีนะ

signature ของที่นี้ เลยเรียกว่าตลาดต้นตาล

ก่อนกลับไปยังที่พักขอถ่ายรูปหน่อยนะ 
จากตลาดต้นเราได้นั้งรถสกายแล็ปกลับไปยังที่พัก ราคา 50 บาท และก็เตรียมอาบน้ำอาบท่าสำหรับเตรียมนำเสนองานในวันต่อไป 

จะขอข้ามบรรยากาศในการนำเสนองานนะ เมื่อนำเสนองานเสร็จก็เกือบเย็นละ เลยนั้งรถจากที่ประชุมไปสถานีปรับอากาศเพื่อจะมายังที่พักที่ใหม่ที่อยู่ในตัวเมือง จะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามากสำหรับเดินทางไปเวียงจันทร์ในเช้าวันต่อไป ค่ารถจากม.ขอนแก่น เป็นรถสองแถวหลังคาสูง คนละ 7 บาทนะ 

ที่พักคื่นที่ 2 พักที่ เลิศลักษณ์โฮลเทล ห่างจากสถานีปรับอากาศประมาณ 10 นาที ระยะทางสำหรับเดินนะ เมื่อถึงที่พักก็ทำตามสเต็ปเดิมคือ เช็คอินและรีบเก็บสัมภาระและไปลุยกันต่อ เนื่องจากเรามีเวลาไม่มากเลยเดินเที่ยวในเมืองอย่างเดียว ขอนแก่นเป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากถ้ามีโอกาศครั้งหน้าก็อยากมาใหม่คริๆ 

วัดศรีนวลเสียดายมากที่เราถึงกันก็เย็นมากเลย ตอนแรกถามคนแถวนั้นตั้งใจจะไปวัดศรีจันทร์ แต่ไงมาถึงวัดศรีนวลได้ ก็ไหนละเข้ามาเดินถ่ายรูปกันสักหน่อย

วัดศรีนวล ระหว่างเดินออกมาได้พบเณรรูปหนึ่ง ก็เลยถือโอกาสถามทางไปบึงแก่นนคร ซะเลยไม่ไกลกันมากค่ะ ประมาณ 1 ไฟแดง ก็เดินประมาณ 5 นาที

เจอป้ายบอกทางพอดีเดินตอไป

เจอซุ้มอย่างนี้ก็เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามและก็ถึงอนุสาวรีย์ 


แวะสักการะและพักเหนื่อยสักครู หลังจากเดินทาง 1 กม.

ถึงแล้วคร้าาา

แชะ ๆๆ ที่นี้เหมือนเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองขอนแก่นเลยก็ว่าได้ คนเยอะมาก มีทุกเพศที่วัยมาทำกิจกรรมยามว่าง มานั้งทานอาหารกันใช้เวลาครอบครัว คนที่มีคู่ก็พาแฟนมานั่งสวีทที่นี้ บรรยากาศก็โรแมนติกไม่เบานะ คริๆ

ร้านขายของ

มีอาหารปลาให้ซื้อทำบุญด้วยนะ ขนมปังและอาหารเม็ด ถังละ 10 บาท ด้วยสัตว์ต่างๆราคา ตามเลือกค่ะ

ทานให้อิ่มนะน้องปลา :p

หาของเบาๆมาทานกันละก็เดินทางต่อค่ะ ขอบอกว่าตับย่างที่บึงแก่นนครอร่อยมาก กับข้าวเหนี่ยว ไม้ใหญ่ถูกดี ไม้ละ 5 บาท ระหว่างทางก็ผ่าน ห้างใหญ่ของตัวเมืองเลยถ่ายรูปสักหน่อย

มุ่งหน้าไป ตลาดโต้รุ่งค่ะ เพราะว่ามีเพื่อนของน้องสาวเป็นคนขอนแก่นไปเรียนมหิดล บอกว่าคุณพี่ต้องมาเดินของกินเยอะ ไหนมาก็ละ คุณพี่เลยจัดซะหน่อย 

คนเยอะมาก ร้านก็เยอะดีค่ะ ครึกคัก

เด็กกำลังทำอะไรกันนะ เหมือนงานวัดสมัยเด็ก อุ้ย! เราแก่แล้วหร่าเนี่ย 55+

แตงเหลืองหอมหวานดีนะ


หาของหนักๆทานกันบ้างดีกว่า มาอีสานครั้งนี้แน้นกินส้มตำ อยากกินของต้นตำรับ อยู่ใต้ก็ชอบกินเหมือนกัน


อันนี้ต้องแนะนำอีก เป็นน้ำพร้าวนมสดปั่น แก้ว 20 บาท อร่อยเว้ออ ที่ภูเก็ตไม่มีนะ เอาไปทำกินบ้างดีกว่าหอมของเนื้อมะพร้าวและความมันของนมสดช่างเข้ากันซะจริงๆ

คอหมูย่าง ร้านนี้ขายแต่คอหมูย่างเลย ตอนแรกตั้งใจจะไปสั่งส้มตำ พี่แกบอกไปสั่งอีกร้านนะไม่มีขายส้มตำที่นี้ แต่สั่งคอหมูย่างและสั่งส้มตำอีกร้านมากินได้ ว่านั้นแล้วก็จัดไป จานนึงสำหรับคอหมูย่างแล้วบอกให้ไปเซิฟร้านส้มต้ำ จ่ายไป 50 บาท

พอมาถึงร้านส้มตำก็ขายส้มตำ กับลาบ เท่านั้น ดีเหมือนกันจะได้ไม่แย่งลูกค้ากันใครทำอะไรอร่อยก็ขายเฉพาะเมนูนั้น เลยจัดมาอีกจาน ส้มตำที่นี้ไม่เหมือนที่ภู เก็ตต้องที่กินกับผักลวก ตอนแรกดูเหมือนนะไม่น่าเข้ากันได้แต่ก็กินไปเรื่อยก็อร่อยเหมือนกันแหะ กินจนหมดจาน ข้าวเหนียว 3 ห่อ กับส้มตำ ราคา 60 บาท


แล้วก็ลาบหมูสัมหนังหมู  35 บาท แซ่บอะ รู้สึกหิวขึ้นมาทันที 

ถึงกินกันอิ่มแบบไม่ไหวจะเคลียร์ละ ก็เดินกลับโรงแรมไปอีก ครึ่งกม. จากนั้นก็เตรียมตัวสำหรับการตื่นแต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถเวียงจันทร์ สำหรับคืนนี้มีผู้ร่วมเดินทางเพิ่มอีกคนนึง คือ น้องสาว ที่เดินทางจากกรุงเทพมาสบทบ นางตั้งใจมาเที่ยวเพื่องานนี้ 

สำหรับผู้ที่ต้องการไปเที่ยวเวียงจันทร์แล้วไม่มีพาสปร์อต ให้เตรียมถ่ายเอกสารบัตรประชาชนกับรูปถ่าย 1-2 นิ่ว 2 รูปมาด้วยนะค่ะ สามารถมายื่นได้ที่ช่องขายตั๋วได้เลย ตอนซื้อตั๋วก็บอกเค้าด้วยนะว่าทำ border pass ด้วย เพิ่มค่าทำไป 100 บาท กับค่ารถขอนแก่น - เวียงจันทร์ 185 บาท แต่สำหรับคนที่มี passport แล้วจ่ายเฉพาะค่ารถ 185 บาทอย่างเดียว แต่ต้องขอบอกว่ามาเช้าๆนะ เที่ยวแรก ออก 6.45 แต่คิวยาวมาก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. ค่ะ ถึงเวียงจันทร์ 


นี้ค่ะรถที่จะนำเราไปลาว 
เมื่อซื้อตั๋วเสร็จแล้วยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งชม. ก็ไปหาอะไรกินใกล้ๆกันก่อนค่ะ เพราะต้องแบกท้องไปอีกสามชม. จะหิวในรถได้นะ
ร้านนี้อยู่ตรงหัวมุมท่ารถปรับอากาศค่ะ ขายข้าวหมูกรอบ หมูแดง ก๋วยเตี๋ยวเกาหลา ราคาจานละ  35 บาท ปริมาณโอเค อิ่มสำหรับหนึ่งคนค่ะ
 เดินทางมาประมาณ 3 ชม จากขอนแก่นก็มาถึงด่านนะค่ะ  สำหรับคนที่มีพาสปร์อตก็เสียค่าเข้าเมืองคนละ 5000 กีบ คนละ 20 บาท ตอนออกก็ต้องเสียอีกรอบ 20 บาท

<  ที่ด่านลาวเค้าเรียกช่องขายตั๋วว่า บ่อนขายปี๊ ค่ะ


จากนั้นก็มุ่่งหน้าไปดินแดนประเทศลาว ซึ่งเป้าหมายของเราครั้งนี้อยู่เมืองเวียงจันทร์คร้า 

 ธงไทยกับบรรยากาศแม่น้ำโขง  นับถอยหลังไป  5 4 3 2 1 Go!! 
และแล้วก็มาถึงประเทศลาวแล้วค่ะ  ประเทศลาวบ้านเมืองดูเรียบง่ายคนอยู่กันอย่างช้า ไม่รีบเร่ง พูดช้า ภาษาลาวใกล้เคียงกับภาษาเหนือบ้านเรามากค่ะ แล้วคนลาวก็ดูทีวีไทยนะ เฉพาะนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าสื่อสารกันไม่เข้าใจ ก็อาจจะมีบ้างคำที่เข้าใจคลาดเคลื่อนกันบ้างแต่รวมๆแล้วก็โอเคค่ะ
เมื่อข้ามด่านมาแล้ว เราก็อินเทรนด์กันหน่อย ไหนก็มาเมืองลาวละ ลองแลกเงินกีบมาใช้จ่ายกันดีกว่า แต่โดยทั่วไปเงินไทยก็ใช้ได้นะค่ะ สำหรับคนที่ไม่ยากแลก แต่เพื่อความได้อรรถรส ก็จ่ายเป็นเงินกีบก็เป็นสีสันสำหรับการเที่ยวครั้งนี้นะ สนุกกับการคำนวณเงิน  

ที่นี้ก็มีวุฒิศักด์นะ สาวลาวก็สวยได้เหมือนดาราค่ะ

เอาละถือเงินล้านเลยเรา 
เมื่่อถึงท่ารถ หรือ บขส.เวียงจันทร์ที่เรียกกันละค่ะ ก็จัดการเดินทางที่พักกัน ครั้งนี้เอาแบบไม่มีการวางแผนอะไรทั้งสิ่น เรียกได้ว่าก็ตายเอาดาบหน้า แต่อย่างไรก็แล้วแต่งานนี้ก็ประหยัดไว้ก่อน คริๆ ได้ใช่ทักษะทางภาษาด้วย ปลื้มที่สุด คือได้พูดลาวถามทาง เอาแบบมั่วๆเอาเมื่อเดินทางจากท่ารถ ก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เพื่อเดินเลียบตลาดเช้าหรือตลาดเซ้า แล้วก็เดินทางไปทางขวามือ จนเจอสามแยกแล้วขวาค่ะ แล้วก็ถามเค้าไปว่าที่พักที่ไม่เกิน 400 บาทต่อคืนอยู่ที่ไหน เค้าก็แนะนำไปว่าให้ตรงไปเรื่อนจนเจอแยก ชื่อว่า เฮือนพักริต้า คราวนี้ก็ถามราคา เค้ามีห้องที่มีสามเตียง คืนละ 600 บาท แต่เราขอเค้าพักด้วยกัน สี่คน ยัดๆเอาคริ ก็นอนได้นะ ไม่ได้แออัดอะไรมาก เฉลี่ยแล้วคนละไม่กี่บาท 

อีกสักรูป 
เมื่อเช็คอินเสร็จแล้วก็ออกปฏิบัติการ เซอเวย์ สถานที่ แต่สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือ หาเช่ารถจักรยานโล๊ด เพราะถ้าไม่เช่าจักรยาน นั่งแต่สามล้อเงินก็หมดกระเป๋าและคงไปไหนได้ไม่มาก เลยลงมติกันว่าเช่ารถจักรยานค่ะ 

 ระหว่างทางก็เจอร้านอาหาร โรงแรมมากมายค่ะ เราเดินมาในย่านที่เค้าเรียกว่า น้ำพุ เป็นย่านที่นักท่องเทียวนิยมมาพัก มีชาวต่างชาติจำนวนมา และแล้วก็เจอร้านจักรยานที่หัวมุม น้ำพุถามราคาเค้าบอก คันละ 80 บาท ขับได้จนถึงหกโมงเย็น ตอนที่เราไปถึงร้านก็บ่ายสองละ ก็ไม่ไปเอาเดินต่อไปอีกร้าน ที่ตรงข้ามวัดรัตนะ ชื่อร้านว่า P.V.O ราคาคันละ  40 บาท ถูกกว่าครึ่งหนึ่งแล้วก็ให้เช่าได้วันหนึ่ง มาคืนก่อนเทียงของอีกวัน เลยตัดสินใจเช่ามา 4 คัน ปั่นกันบาลระทัย
บรรยากาศระหว่างทาง
ยานพาหนะคู่ชีพ 
ในประเทศลาวจะขับรถในเลนขวาของถนน ตอนไปช่วงแรกต้องปรับจูนพอสมควร เนื่องจากปกติเวลาอยู่ที่ไทยเราจะมองเลนซ้าย ก่อนข้ามถนนแต่พอไปเวียงจันทร์ต้องปรับไปมองด้านขวา ช่วงแรกตอนข้ามถนนคิดว่าทำไมถนนว่างจัง พอหันนไปอีกด้านโอ้มายกอร์ดดด รถมาเป็นขบวน พอขับจักรยานก็แล้วไงไปไม่เป็นไร แต่ละแล้วสัณชาตญานของมนุษย์ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อขับได้อย่างชำนาญ ก็พร้อมที่จะลั้นล๊า ....ได้แว้วว

ขอจับจองจักรยานกันได้เลย เราขอที่เบาะต่ำๆ นะ เพราะสูงน้อย คริๆ

ขับมาเรือยก็ถึงหน้าวัดศรีสะเกษ ก็กระหายขึ้นมาเลยซื้อ แตงโมงมา 5000 พัน กีบ (20 บาท) หวานชื่นใจ

ถึงแล้วค่ะ วัดศรีษะเกษ ภายในวัดก็สวยงามตามฉบับค่ะ วัดนี้เป็นวันที่เก่าแก่ แห่งหนึ่งของเวียงจันทร์ค่ะ เค้าว่ากันว่าวัดนี้เป็นสร้างแบบศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือแบบล้านช้าง ในสมัยโบราณว่ากันว่าวันนี้มีพระประดิษฐานถึงหมื่นองค์ แต่ปัจจุบันพระประดิษฐานอยู่รายรอบประมาณ 6840 รูป

วัดศรีสะเกษ ตั้งอยู่บนถนนเชษฐาธิราช ตรงข้ามกับวัดหอพระแก้ว



ไหนก็มาถึงแล้วขอสักการะสักหน่อยค่ะ แอบขออธิฐานด้วย อุ๊บๆๆ ไว้

ภายนอกของโบส์ ภายในมีเซียมซีด้วยนะ แต่ได้มาแล้วจะได้คำทำนายหรือป่าวค่อยว่ากันนะค่ะ โดยปกติจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ภายใน อยากทราบข้อมูลอะไรก็สอบถามตามอัธยาศัยค่ะ

ก่อนจะออกจากวัดศรีสะเกษ ขอฝากไปอีกรูปค่ะ
วัดต่อไปที่เราจะไปเยี่ยมชมคือวัดหอพระแก้วค่ะ หอพระแก้ว สถานที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตของไทย สร้าง พ.ศ. 2108

เมื่อไปเยี่ยมชมรู้สึกว่าสมัยก่อนคนสร้างวัดได้สวยมากค่ะ เห็นถึงศรัทธาของคนยุคนั้น เมื่อไปก็พบว่าคนไทยให้ความสนใจพอสมควร คำถามที่ได้พบบ่อยค่ะ ส่วนใหญ่จะถามว่าพระแก้วอยู่ไหน ขอบอกได้เลยว่าไม่ต้องถามนะค่ะ เพราะว่าวัดนี้คือที่ที่เคยประดิษฐานของพระแก้มรกตค่ะ ส่วนความเป็นมายังต้องไปศึกษารายละเอียดภายหลับค่ะ  ลืมบอกไปว่าการชมวัดหอพระแก้วต้องจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยค่ะ คนละ 40 บาท (ถ้าจำไม่ผิดนะ แต่ไม่เกินนี้แน่นอน)

หน้าต่างของโบส์

พระพุทธรูปลักษณะเช่นนี้จะสร้างขึ้น รอบๆโบส์เลยค่ะ ดูขลังและเก่ามากๆ

สิ่งห์เฝ้าประตู

หอพระแก่ว ภาพก่อนจะออกจากวัดไปเที่ยวยังที่ต่างๆต่อไป 

ขับจักรยานเยี่ยมวัดโน้นออกวันนี้จนเมื่อยน่อง ถึงเวลาที่ต้องตะเวนหาของกินกันบางละ หลังขับไปเรื่อยทางถนนเชษฐาธิราช ก็มาสะดุดร้านอาหารเวียดนามอยู่ร้านหนึ่ง ไปลาวแต่ทานอาหารเวียดนาม จริงๆแล้วอาหารลาวก็ได้รับอิทธิพลจากเพื่อนบ้านมาพอสมควรค่ะ นอกจากพื้นแล้วแล้วก็ได้รับอิทธิพลจากประเทศที่ทำยึดครองด้วย 

เหนือยมากมื้อนี้ขอบอกว่าจัดเต็ม 
เริ่มทะยอยมาเรื่อยจนเต็มโต๊ะ


เยอะว่ากินที่ภูเก็ตมากแหะ 

กินอยากบ้าเลือด สุดท้ายก็ไม่หมด แต่เหลือนิดหน่อยนะสำหรับอาหารมื้อไปเป็นแสนเลย เง้ออ แสนสองหมื่นกีบ ตกเป็นเงินไทยก็ 500 บาท ถือว่าราคาสมเหตุสมผล 

จากนั้นเดินทางกันต่อ ขับรถมาเรื่อยจะเป็นอนุสาวรีย์ ตรงทางสามแยก ตรงนี้เหมือนสวนย่อมขนาดหย่อมสำหรับหยุดพักผ่อนค่ะ 
 สมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์ที่ 5 และเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้าย นักประวัติศาสตร์ลาวขนานนามพระองค์อีกอย่างหนึ่งว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 

เกือบหมดสภาพกับการปั่น นานๆที่จะได้ปั่นจักรยานหลังจากที่ห่างหายมาเกือบสิบปี หลังจะเห็นปั๊มน้ำมัน ในลาวราคารถถือว่าถูกว่าบ้านเรา แต่ราคาน้ำมันไม่ต้องพูดถึง แพงจร้า

หลังจากรถไปครึ่งค้อนวัน ไปถูกทางบ้างหลงบ้างก็ เจอประตูชัยจนได้ เนื่องจากขับรถแบบไม่ได้ดูแผนที่จึงทำให้ขับรถอ้อมซะไกล รู้อีกทีก็เห็นรถขอนแก่น-เวียงจันทร์ เลยรู้สึกว่ารถนี้คุ้นๆแหะ เหมือนรถที่นั้งมาเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าเรากำลังขับจักรยานกลับประเทศหรือเนี่ย หลงมาหลายกิโล ในที่สุดเราก็กลับมาจากเจอถนนเชษฐาธิราชอีกครั้ง แล้วขับไปทิศตรงข้ามกับวัดศรีสะเกด ไปเรื่อย แล้วก็เจอประตูชัยตั้งตระหง่าน



 สร้างขึ้นโดยรัฐบาลฝรั่งเศสสมัยเข้ามาครอบครองประเทศ โดยสร้างถนนและประตูชัยให้คล้ายกับชอง เอลิเซ่ในฝรั่งเศส แต่ยังสร้างไม่เสร็จดี ชาวลาวก็ประกาสอิสรภาพเสียก่อน ดังนั้น คำว่าชัยชนะของประตูนี้จึงหมายถึงชัยชนะของชาวลาว ประตูชัยนี้จึงมีศิลปะฝรั่งเศสและลาวผสมผสานกันอย่างลงตัว เพราะศิลปะไม่มีขีดจำกัดจริงๆๆ 

ถ่ายรูปหมู เอ้ยรูปหมู่กันหน่อย แชะ ระหว่างเดินทางไปถ่ายรูปมีเจ้าหน้าที่พ้นยากันยุง ควันจัดเต็มมาก เกือบวิ่งเอาชีวิตไม่รอด คริๆ 

มุมประตูชัยกับรถคู่ใจ

มุมข้างๆก็เท๋ไม่เบา 

ด้านบนของประตูชัย





สำนักงาน นายกรัฐมนตรี ที่ทำการรัฐบาลลาว ไม่รู้ว่าที่นี้จะมีวันเด็กหรือป่าวนะ ถ้ามีจะเปิดให้เด็กไปนั่งเก้าอี้นายกเหมือนบ้านเราป่าว ดูภายนอกอลังการงานสร้างมากกๆ 

เป็นที่น่าเสียดายว่ากว่าเราจะถึงประตูชัยก็เย็นซะแล้ว แล้วจากนั้นก็เดินทางต่อไป ยังพระธาตุหลวงจึงมืดค่ำพอดี เลยได้เห็นบรรยากาศพระธาตุหลวงยามค่ำคื่น ก็สวยงามไปอีกแบบ บริเวณพระธาตุหลวงสวยงามถ้าได้มาช่วงกลางคงสวยงามมาก แต่เนื่องจากด้วยเวลาการเที่ยวครั้งนี้มีจำกัด จึงทำให้เราไม่สามารถกลับมาถ่ายรูปในช่วงกลางวันได้ แต่ถ้ามากลางวัน หากต้องการเข้าไปชมบรรยากาศภายในต้องเสียค่าใช่ที่ 20 บาท ซึ่งจะหยุดทำการช่วง 12.00 - 13.00น. ค่ะ


พระธาตุหลวง
ดึกมากแล้วเดินทางกลับที่พักและพักผ่อนสักครู่ คุณลุงเจ้าของที่พักใจดีมาก เป็นห่วงเราและจักรยาน อนุญาติให้จอดจักรยานในที่พักได้ และยังแนะนำที่แหล่งกินมื้อค่ำอีก ลุงบอกว่าให้ไปตลาด 450 ปี พอไปถึงก็มีร้านขายอาหารมากมาย มีขายแผ่นแพงของไทยด้วยนะ บางแพงอยู่ไทยยังไม่เคยได้ยินก็มาได้ยินที่นี้ รู้สึกภูมิใจในเพลงไทยเพลงไทยก็โด่งตังในต่างประเทศนะ คริๆ
เบื่อๆเซงมาปาเป้ากันไหมค่ะ

ที่ปาเป้าต้องจ่ายตังห้าพันแหนะ ประมาณ 20 บาทค่ะ

ปาไปปามาไม่ได้อะไรเลย เหมือนจะแม่นก็ไม่แม่น คริๆ
ในขณะที่เดินกินลมกินจริงในตลาดไปเรื่อย ก็อยากจะลองอาหารแปลกที่ไม่เคยกินที่ภูเก็ตบ้าง เผอิญเจอร้านข้างทางเหมือนร้านก๊วยเตี๊ยวเลยลองสั่งดู เค้าเรียกอาหารถ้วยนี้ ว่า เฝอ ราคา 40 บาท เส้นจะนิ่มคล้ายก๊วยจั๊บญวณ 

เฝอ

กินกันใหญ่

มาย่อยอาหารกันที่ สนามแข่งซีเกมส์กัน 
ทริปสำหรับวันแรกของการเที่ยวในลาวนับว่าเต็มอิ่มจุใจมาก ค่ะ หลังจากนี้คงต้องไปพักผ่อนก่อนเพื่อจะได้มีแรงตื่นขึ้นมาตักบาตรสักหน่อย วันที่ไปเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ลุงเจ้าของบอกว่าปกติที่ลาววันอาทิตย์ตอนเช้าแม่ค้าจะไม่ขายของเพราะว่าเค้าพัก แต่เราจะตักบาตรแต่ไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย เคยได้ยินว่าที่ลาวเค้าใช่ข้าวเหนี่ยวล้วนๆ ในการใส่บาตร แต่จากการสอบถามเจ้าของที่พักเค้าบอกเราว่า ถ้าไม่ได้เตรียมก็ตักได้เป็นขนมได้ เพราะขนม ภาษาลาวก็คือ ข้าวหนม คริๆ แทนกันได้ เราก็เลยเอาไงเอากัน ข้ามหนมก็ข้าวหนม 
ตื่นมาตอนเช้าถ่ายถาพก่อนตักบาตร

สำหรับการตักบาตรวันนี้นับว่าโชคดีมาก เนื่องจากสมาชิกนอนดึกมากหลับสนิท แต่เมื่อใกล้เวลาตักบาตรเจ้าของที่พักเห็นว่าพวกเราคงยังไม่ตื่น เลยขึ้นไปปลุกเคาะประตูเรียกให้ไปตักบาตร ถ้าไม่ได้คุณลุงของใส่บาตรเราก็เก้อออ แน่ๆๆ ขอบใจหลายๆคร้าา

ตักบาตรตอนเช้าสบายใจ ได้ทำบุญ อิ่มบุญด้วยนะทริปนี้ ใส่เงินในบาตรไปด้วยเป็นปัจจัยเล็กๆน้อยๆค่ะ






2 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. รีวิวมาเรื่อยๆเรยนะพี่ติดตามอยู่ สนุกดีจ้า

    ตอบลบ