ความเดิมจากตอนที่แล้วค่ะสำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องราวการท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา ที่เมืองพนมเปญค่ะ จากตอนที่แล้วได้พาไปเยือนวัดพระแก้วและพระเจดีเงิน ตอนนี้ก็ยังคงเที่ยวไม่ไกลไปจากเดิมค่ะ ก็ยังคงอยู่แถววัด หลังที่เดินชมวัดไปสักระยะ ก็ถึงช่วงเวลาเย็น ก็เดินออกจากทางออกของวัดกัน บรรยากาศบริเวณวัด ค่อนข้างผ่อนคลายมากค่ะ ต่างจากช่วงเวลากลางที่ค่อยข้างร้อน บริเวณใกล้ช่้วงเวลาเย็นกับแสงแดดที่รำไร เหมาะสมครอบครัวหรือหนุ่มสาวที่จะมานั้งกินลมชมวิว หลีกหนี ความวุ่ยวายของตัวเมือง The Royal palace ในกรุงพนมเปญสร้างขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1434 หรือปี พ.ศ. 1977 และหลังจากนั้นพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดก็ได้ย้ายไปพำนักที่ จังหวัดอุนดง Oudong ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ครั้งที่ 2 คือเมื่อปี ค.ศ. 1866 หรือปี พ.ศ. 2409 สร้างขึ้นที่กลางกรุงพนมเปญ ค่าเข้าชม 6 ดอลล่าร์กับ 1000 เรียล ตามบัตรจะเขียนว่า 25000 เรียล
ทางออกของพระเจดีย์เงิน
บรรยากาศโดยรอบก็เป็นดังภาพค่ะ มีนกมากมายมาแวะเวียนในที่นี้ ทิวทัศน์ตรงข้ามก็เป็นวิว แม่น้ำโขง หากใครต้องการเดินทางกลับไปยังขึ้นไปยังไทยก็สามารถนั้งเรือขึ้นไป ก็ได้บรรยากาศอีกแบบค่ะ
บริเวณริมแม่น้ำ ก็มีร้านค้ามากมายค่ะ ทั้งร้านนั้งชิ่วและร้านอาหาร สำหรับคนที่ชื่นชอบรับประทานอาหารไทย ก็สามารถเดินทางร้านแถวนี้ได้ค่ะ แต่สำหรับเราก็ไม่ได้ไปรีวิวร้านอาหารแถวนี้เนื่องจากติดรถเที่ยวกับกลุ่มชาวไทยที่มาเที่ยวที่นี้ค่ะ ทำให้ประหยัดค่ารถไปได้ คริ ๆ และก็พบมิตรภาพที่ดีระหว่างการเดินทาง
นกพิราบ ผู้ต้อนร้บแขกบ้านแขกเมือง
แถวนี้มีนกค่อนข้างมากค่ะ ความเป็นอยู่ของคนค่อนข้างเรียบง่าย
จากการชมวัดพระแก้วและเจดีย์เงินแล้วก็ออกเดินทางกันต่อเลย ตอนนั้งรถออกจากวัดมุ่งหน้ัาไปพิพิธภัณฑ์ ก็เห็นวัดนี้บริเวณวงเวียนไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวัดอะไร ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นวัดอุณาโลม แต่เห็นแล้วแปลกตาเลยถ่ายเก็บบรรยากาศมาฝาก
คนที่นี้ขับรถกันน่ากลัวมากๆ บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหวถ้ามาบ้านเราก็อาจจะมีเรื่องมีราวได้เลยที่เดียว แหะๆ
เดินทางโดยตุ๊กมาประมาณไม่เกิน 10 นาที ก็ถึงพิพิธภัณฑ์เสียค่าเข้าชม 3 ดอลล่าร์ ภายในมีวัตถุโบราณของมีค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดของเขมรที่ไม่สามารถหาชมได้จากที่ไหน นอกจากเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์ เนื่องการเก็บรักษาของมีค่าไว้ที่นี้เป็นการแสดงถึงความหวงแหนของชาวกัมพูชา มิฉะนั้นก็จะถูกทำลายไปในช่วงสงครามจนหมดสิ้น และของบางชิ้นก็ถูกต่างชาติเอากลับประเทศไปโดยถูกแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั้งในยุโรปและประเทศอื่นๆ และบางชิ้นก็มาจากในประเทศไทย ซึ่งทางไทยก็มีการส่งคืนทับหลังที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของกัมพูชาเมื่อประมาณ 10-15 ปีที่ผ่านมานี่เองเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและประเทศ เช่น เทวรูปโบราณที่ค้นพบตามเทวสถานตาม นครวัดที่เสียมเรียบ สาเหตุที่ต้องนำมาเก็บเป็นเพราะว่าป้องกันการสูญหายจากผู้ไม่หวังดีได้ หรือว่าหวังดีประสงค์ร้ายนะเด้ออ
เมื่อ 4 ปีก่อนเคยมีโอกาศไปเที่ยวนครวัดและนครธม เมื่อได้เห็นภาพถ่ายเทวรูปที่ตั้งอยู่ในนครวัด นครธม ในรูปถ่ายที่พิพิธภัณฑ์ก็เลยอดจินตนาการไม่ได้ว่า หากที่เหล่านั้นยังคงสภาพเดิมๆได้ไว้มันจะเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนเมื่อมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราเดินผ่านเทวสถานอายุนับพันๆปีเหล่านั้นเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมอดีต
เป็นที่น่าเสียดายที่ภายในไม่สามารถถ่ายรูปได้เลยอดเสียดายไม่ได้ที่จะเอารูปมาฝาก
เลยได้ถ่ายเก็บบรรยากาศจากภายนอก
ในส่วนพิพิธภัณฑ์ชาวกัมพูชาได้ให้ความสำคัญกับที่แห่งนี้มากค่ะ จึงไม่สามารถให้ถ่ายรูปไว้ได้เพราะเกรงว่าจะมีการคัดลอกวัตถุโบราณเก่าแก่ไป นอกจากจะมีของเก่าแก่ประจำบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปะอันมีค่าเก็บไว้ถึงลูกถึงหลานด้วยนะค่ะ เห็นแบบนี้แล้วบ้านเราน่าจะมีการส่งเสริมให้อนุรักษ์ของเก่าแก่ประจำบ้านเมืองไว้ให้มากกว่านี้เนอะ เพราะว่ายังคงมีผู้หวังดีประสงค์ร้ายเอาของมีค่าและวัตถุโบราณในวัดเก่าแก่ต่างไปขายอย่างต่อเนื่อง ระวังไว้นะทำแบบนี้ต่อไปจะไม่มีอะไรที่มีค่าไว้อวดลูกอวดหลานเด้อออค้าาา
ต้นไม้ใบเขียวนี้เป็นรั้วที่อยู่รอบพิพิธภัณฑ์ค่ะ ตัดกับสีแดงโทนเก่าๆ ก็สวยไปอีกแบบนะค่ะ
เข้าไปด้านในจะมีสระบัวสวยดีเหมือนกันค่ะ
ก่อนกลับขออีกรูปนะค่ะ
เพื่อนร่วมเดินทางคนไทยที่ไปเจอกันต่างแดน คนไทยเมื่อเห็นที่ไหนก็เหมือนญาติพี่น้องกันค่ะ
เพื่อนชาวกัมพูชา มิตรภาพที่เจอค่ะ เป็นพี่ที่ขับรถพาเราเที่ยวรอบเมือง พาไปหลายที่เลยคะ ทริปนี้นอกเหนือจากแพ็กเก็จไปเยอะ คุยกันถูกปากจึงพาไปเยอะเลยค่ะ
พี่เค้าบอกว่าถ้าเรามีเวลาจะพาไปเจอกลุ่มคนไทยที่นั้น และอาจมีโอกาสไปนั้งกินอะไรกัน แต่น่าเสียดายเนื่องจากเรามีเวลาน้อยจึงขอตัวเดินเที่ยววิเวกก่อนกลับที่พักคร้าาา คิดๆก็คิดถึงเหมือนกันค่ะ คนละเชื้อชาติแต่ดูแลเหมือนญาติมิตร แอบซึ้งๆๆ