วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวกัมพูชา-เวียดนาม ตอนรับสงกรานต์ ตอนที่ 4

ความเดิมจากตอนที่แล้วค่ะสำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องราวการท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา ที่เมืองพนมเปญค่ะ จากตอนที่แล้วได้พาไปเยือนวัดพระแก้วและพระเจดีเงิน ตอนนี้ก็ยังคงเที่ยวไม่ไกลไปจากเดิมค่ะ ก็ยังคงอยู่แถววัด หลังที่เดินชมวัดไปสักระยะ ก็ถึงช่วงเวลาเย็น ก็เดินออกจากทางออกของวัดกัน บรรยากาศบริเวณวัด ค่อนข้างผ่อนคลายมากค่ะ ต่างจากช่วงเวลากลางที่ค่อยข้างร้อน บริเวณใกล้ช่้วงเวลาเย็นกับแสงแดดที่รำไร เหมาะสมครอบครัวหรือหนุ่มสาวที่จะมานั้งกินลมชมวิว หลีกหนี ความวุ่ยวายของตัวเมือง The Royal palace ในกรุงพนมเปญสร้างขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1434 หรือปี พ.ศ. 1977 และหลังจากนั้นพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดก็ได้ย้ายไปพำนักที่ จังหวัดอุนดง Oudong ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ครั้งที่ 2 คือเมื่อปี ค.ศ. 1866 หรือปี พ.ศ. 2409 สร้างขึ้นที่กลางกรุงพนมเปญ ค่าเข้าชม 6 ดอลล่าร์กับ 1000 เรียล ตามบัตรจะเขียนว่า 25000 เรียล
ทางออกของพระเจดีย์เงิน

บรรยากาศโดยรอบก็เป็นดังภาพค่ะ มีนกมากมายมาแวะเวียนในที่นี้ ทิวทัศน์ตรงข้ามก็เป็นวิว แม่น้ำโขง หากใครต้องการเดินทางกลับไปยังขึ้นไปยังไทยก็สามารถนั้งเรือขึ้นไป ก็ได้บรรยากาศอีกแบบค่ะ

บริเวณริมแม่น้ำ ก็มีร้านค้ามากมายค่ะ ทั้งร้านนั้งชิ่วและร้านอาหาร สำหรับคนที่ชื่นชอบรับประทานอาหารไทย ก็สามารถเดินทางร้านแถวนี้ได้ค่ะ แต่สำหรับเราก็ไม่ได้ไปรีวิวร้านอาหารแถวนี้เนื่องจากติดรถเที่ยวกับกลุ่มชาวไทยที่มาเที่ยวที่นี้ค่ะ ทำให้ประหยัดค่ารถไปได้ คริ ๆ และก็พบมิตรภาพที่ดีระหว่างการเดินทาง 

นกพิราบ ผู้ต้อนร้บแขกบ้านแขกเมือง

แถวนี้มีนกค่อนข้างมากค่ะ ความเป็นอยู่ของคนค่อนข้างเรียบง่าย


จากการชมวัดพระแก้วและเจดีย์เงินแล้วก็ออกเดินทางกันต่อเลย ตอนนั้งรถออกจากวัดมุ่งหน้ัาไปพิพิธภัณฑ์ ก็เห็นวัดนี้บริเวณวงเวียนไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวัดอะไร ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นวัดอุณาโลม แต่เห็นแล้วแปลกตาเลยถ่ายเก็บบรรยากาศมาฝาก

คนที่นี้ขับรถกันน่ากลัวมากๆ บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหวถ้ามาบ้านเราก็อาจจะมีเรื่องมีราวได้เลยที่เดียว แหะๆ



เดินทางโดยตุ๊กมาประมาณไม่เกิน 10 นาที ก็ถึงพิพิธภัณฑ์เสียค่าเข้าชม 3 ดอลล่าร์ ภายในมีวัตถุโบราณของมีค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดของเขมรที่ไม่สามารถหาชมได้จากที่ไหน นอกจากเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์ เนื่องการเก็บรักษาของมีค่าไว้ที่นี้เป็นการแสดงถึงความหวงแหนของชาวกัมพูชา มิฉะนั้นก็จะถูกทำลายไปในช่วงสงครามจนหมดสิ้น และของบางชิ้นก็ถูกต่างชาติเอากลับประเทศไปโดยถูกแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั้งในยุโรปและประเทศอื่นๆ และบางชิ้นก็มาจากในประเทศไทย ซึ่งทางไทยก็มีการส่งคืนทับหลังที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของกัมพูชาเมื่อประมาณ 10-15 ปีที่ผ่านมานี่เองเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและประเทศ  เช่น เทวรูปโบราณที่ค้นพบตามเทวสถานตาม นครวัดที่เสียมเรียบ สาเหตุที่ต้องนำมาเก็บเป็นเพราะว่าป้องกันการสูญหายจากผู้ไม่หวังดีได้ หรือว่าหวังดีประสงค์ร้ายนะเด้ออ


เมื่อ 4 ปีก่อนเคยมีโอกาศไปเที่ยวนครวัดและนครธม เมื่อได้เห็นภาพถ่ายเทวรูปที่ตั้งอยู่ในนครวัด นครธม ในรูปถ่ายที่พิพิธภัณฑ์ก็เลยอดจินตนาการไม่ได้ว่า หากที่เหล่านั้นยังคงสภาพเดิมๆได้ไว้มันจะเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนเมื่อมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราเดินผ่านเทวสถานอายุนับพันๆปีเหล่านั้นเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมอดีต


เป็นที่น่าเสียดายที่ภายในไม่สามารถถ่ายรูปได้เลยอดเสียดายไม่ได้ที่จะเอารูปมาฝาก

เลยได้ถ่ายเก็บบรรยากาศจากภายนอก

ในส่วนพิพิธภัณฑ์ชาวกัมพูชาได้ให้ความสำคัญกับที่แห่งนี้มากค่ะ จึงไม่สามารถให้ถ่ายรูปไว้ได้เพราะเกรงว่าจะมีการคัดลอกวัตถุโบราณเก่าแก่ไป นอกจากจะมีของเก่าแก่ประจำบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปะอันมีค่าเก็บไว้ถึงลูกถึงหลานด้วยนะค่ะ  เห็นแบบนี้แล้วบ้านเราน่าจะมีการส่งเสริมให้อนุรักษ์ของเก่าแก่ประจำบ้านเมืองไว้ให้มากกว่านี้เนอะ เพราะว่ายังคงมีผู้หวังดีประสงค์ร้ายเอาของมีค่าและวัตถุโบราณในวัดเก่าแก่ต่างไปขายอย่างต่อเนื่อง ระวังไว้นะทำแบบนี้ต่อไปจะไม่มีอะไรที่มีค่าไว้อวดลูกอวดหลานเด้อออค้าาา

ต้นไม้ใบเขียวนี้เป็นรั้วที่อยู่รอบพิพิธภัณฑ์ค่ะ ตัดกับสีแดงโทนเก่าๆ ก็สวยไปอีกแบบนะค่ะ


เข้าไปด้านในจะมีสระบัวสวยดีเหมือนกันค่ะ

ก่อนกลับขออีกรูปนะค่ะ

เพื่อนร่วมเดินทางคนไทยที่ไปเจอกันต่างแดน คนไทยเมื่อเห็นที่ไหนก็เหมือนญาติพี่น้องกันค่ะ

เพื่อนชาวกัมพูชา มิตรภาพที่เจอค่ะ เป็นพี่ที่ขับรถพาเราเที่ยวรอบเมือง พาไปหลายที่เลยคะ ทริปนี้นอกเหนือจากแพ็กเก็จไปเยอะ คุยกันถูกปากจึงพาไปเยอะเลยค่ะ

พี่เค้าบอกว่าถ้าเรามีเวลาจะพาไปเจอกลุ่มคนไทยที่นั้น และอาจมีโอกาสไปนั้งกินอะไรกัน แต่น่าเสียดายเนื่องจากเรามีเวลาน้อยจึงขอตัวเดินเที่ยววิเวกก่อนกลับที่พักคร้าาา คิดๆก็คิดถึงเหมือนกันค่ะ คนละเชื้อชาติแต่ดูแลเหมือนญาติมิตร แอบซึ้งๆๆ

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวกัมพูชา-เวียดนาม ตอนรับสงกรานต์ ตอนที่ 3 วัดพระแก้วมรกต

นั้งกินลมชมวิว และเผชิญกับอากาศที่แสนจะร้อนจัด เลยอยากจะมาหลบไอร้อนที่นี้กันเลย สถานที่นี้คือวัดพระแก้วมรกตหรือ(พระราชวังหลวงหรือพระเจดีย์เงิน) ค่าเข้าชมสำหรับวัดพระแก้วมรกต อยู่ที่ราคา 6.5 ดอลล่า ถือว่าค่อนข้างสูงที่เดียวสำหรับการเข้าชมวัด อาจเป็นเพราะเราเป็นชาวต่างประเทศมั้ง คิดในทางที่ดี อิอิ ภายในวัดถือว่าสวยงามคือ แต่น่าเสียดายส่วนของห้องโถงภายในวัดพระแก้วมรกต เค้าไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไป ดังนั้นนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมเฉพาะภายนอก และมองผ่านไปด้านในเท่านั้นค่ะ เค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านห้องโถงด้วย เสียดายที่สุด

ด้านนอกค่ะ จะมีพ่อค้าขายน้ำอ้อยสดๆ หวาน แท้ๆ ราคาน้ำอ้อย 1000 เรียลค่ะ

ด้านข้างของวัดค่ะถือว่าเป็นบริเวณที่สะอาดที่สุดในย่านสถานที่ท้องเที่ยว

หลังคาของวัดค่ะ 





รูปปั้นเทพพนม


พระที่นั่งจันทฉายา มีรูปแบบเป็นศาลาโถง ใช้เป็นสถานที่แสดงนาฏศิลป์เขมรโบราณ ในพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ หรือพิธีเฉลิมฉลองต่างๆ และเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของพระราชวังหลวงแห่งนี้ เพราะอยู่ตรงบริเวณกำแพงพระราชวัง สามารถเห็นได้จากภายนอกพระราชวังได้โดยง่าย พระที่นั่งจันทฉายามีมุขระเบียงยื่นออกไปสำหรับชมพิธีสวนสนาม พระที่นั่งจันทฉายาองค์ปัจจุบัน เป็นพระที่นั่งที่ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรก สร้างในปี 2456 – 2457 ในรัชสมัยสมเด็จพระศรีสุวัตถิ์ เพื่อแทนศาลาไม้หลังเก่าที่สร้างในสมัยสมเด็จพระนโรดม พระที่นั่งองค์ปัจจุบันมีรูปแบบเดียวกันกับพระที่นั่งองค์แรกๆนี้ credit:Wikipedia






วัดพระแก้วนี้มีมรดกสำคัญของ กัมพูชา เช่น พระพุทธรูปทองคำและอัญมณี โดยเฉพาะพระพุทธรูปขนาดเล็ก สลักจากผลึกแก้วเนื้อละเอียด สร้างในคริสตศตวรรษที่ 17 (“พระแก้วมรกต” แห่งกัมพูชา) และพระพุทธรูปขนาดใกล้เคียงมนุษย์ “พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า” ที่หุ้มประดับด้วยเพชร 9,584 เม็ด ซึ่งมาจากเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของสมเด็จพระศรีสุวัตถิ์ นอกจากนี้ ยังมี พระเจดีย์เงินที่ฝังกระเบื้องเงิน 5,000 ชิ้น และหินอ่อนจากอิตาลี


รูปแบบคันทวยรองรับชายคา ของกัมพูชา มักเป็นรูปเทพแบก








จิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ วัดพระแก้ว กรุงพนมเปญ

สักการะเจดีย์

สถูปบรรจุพระอัฐิสมเด็จพระนโรดมสุรามฤต

พระบรมราชานุเสาวรีย์ สมเด็จพระนโรดม ในซุ้มมณฑป (รูปปั้นเล็กๆสีดำในท่านั่ง)


วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวกัมพูชา-เวียดนาม ตอนรับสงกรานต์ ตอนที่ 2 Killing Flied

ต่อจากตอนที่ 1 ...หลังจากที่ไปทานอาหารและอิ่มท้องกันแล้วก็มาชม Killing Flied กันค่ะ

บัตรเข้าชมค่ะ 

ราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 2 ดอลล่าห์ค่ะ แต่ถ้าต้องการหูฟังเพื่อฟังเรื่องราวความเป็นมาด้วยก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 3 ดอลล่าห์ เป็น 5 ดอลล่าห์ ส่วนหูฟังก็มีหลายภาษาให้เลือกฟังขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้าชม ซึ่งภาษาไทยก็เป็นหนึ่งในภาษาที่ให้เลือกฟังค่ะ บรรยากาศของทุ่งสังหาร จะค่อนข้างเงียบสงบ ผู้เข้าชมค่อนข้างให้เกียติสถานที่และผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรม ครั้งนี้ โดยการบริเวณทุ่งสังหารมีการเปิดไว้อาลัย ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งถึงเรื่องราวเลยที่เดียว

นางแบบเจ้าประจำ อิอิ 

บริเวณทางเข้า โดยจะมีจุดขายบัตรด้านข้างค่ะ

หอเก็บหัวกระโหลกจากการขุดพบจากทุ่งสังหาร โดยคาดกันว่ายังไม่อีกจำนวนมากที่ยังไม่ขุดพบ

เยอะมากค่ะ 

ก่อนเข้าไปไหว้เคารพผู้เสียชีวิต อย่าลืมถอดรองเท้านะค่ะ

เถาวัลย์ธรรมชาติที่ดูแล้วสวยดีเลยเอามาฝากค่ะ 

จากมุมนี้ มองไปยังพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวของเขมรแดง

หอไว้อาลัย

เรื่องราวของสถานที่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

อนุสรณ์สถาน "ทุ่งสังหาร" ที่เจืองแอ็ก Choueng Ek ใน จ.กันดาล Kandal นอกกรุงพนมเปญ หลุมศพหมู่ยังปรากฏเรียงรายให้เห็นอยู่ นักโทษจำนวนมากถูกส่งไปจากตวลสะเลงและถูกสังหารที่นี่ด้วยวิธีการต่างๆ นานา ทุ่งสังหารเป็นตำนานแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ บ้างก็ถูกกลบฝังทั้งเป็น ณ ทุ่งแห่งนี้นับจำนวนมหาศาล บทบันทึกความเลวร้ายที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนทารุณ


อุปกรณ์การเกษตรที่ดัดแปลงมาเป็นอุปกรณ์ทรมาน

กระโหลกของเหยือผู้เคราห์ร้าย


ภาพวาดที่แสดงเรื่องราวอันน่าสลดใจ ที่คนในประเทศและทั่วโลกยากจะลืมเลือน

ทุ่งสังหารแห่งนี้คือสถานที่ ที่ฝังเหยือผู้เคราะห์ร้ายทั้งเป็นอย่างเลือดเย็น เศร้าใจมากค่ะ
จากภาพวาดที่บรรยายเรามาดูสถานที่จริงกันนะค่ะ 

แหล่งที่เคยเป็นบริเวณฝังโครงกระดูกมากมายา


บริเวณนี้ได้ถูกขุดหัวกระโหลกขึ้นมา แต่คาดว่ายังคงมีหลายจุดที่ยังไม่ถูกขุดพบ

หอยดองเค็ม สินค้าที่จะนำเสนอหน้าพิพิธภัณฑ์ แต่รสชาติยังไงต้องลองเองนะค่ะ เนื่องจากผู้เขียนไม่ทานหอย แต่ขอเตือนว่าถ้าจะทานต้องท้องแข็งพอสมควรนะ

ก่อนไปที่ต่อไปอีกสักรูป

เมื่อแสดงความเห็นถึงความรู้สึกเมื่อไปเยี่ยมชมสถานที่ทุ่งสังหาร แล้วเห็นความโหดเหี่ยมของคนที่ต้องมาฆ่ากันเองแม้แต่คนประเทศเดียวกัน ทำให้สะท้อนเห็นถึงใจคนที่อยากแท้หยั่งถึง สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมีอำนาจเพียงใดปลายของทุกคนก็มีปลายทางอยู่จุดเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่ยังคงรักษาให้นานเท่านานของคนๆหนึ่งคือคุณงามความดีและสิ่งที่ทำไว้ให้กับสังคม สาธุ.....

หลังจากไว้อาลัยเหล่าผู้เสียชีวิตเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป นั้นคือ อนุสาวรีย์อิสระภาพ หรือ Independence monument สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงการล้มล้างกลุ่มเขมรแดงและการประกาศอิสรภาพของชาวเขมร การแสดงน้ำพุเพื่อเป็นเกียรติของพวกเขาและการแสดงดนตรีตามประเพณีเขมรสำหรับเฉลิมฉลองการมาถึงของเวียดนามและชัยชนะของพวกเขาที่มีเหนือกลุ่มเขมรแดง

ผ่านปั๊มน้ำมันเลยถ่ายหน่อย

วันนี้อากาศร้อนมากก ช่วงที่มาอยู่ในช่วงเมษาอากาศที่นี้ค่อนข้างแห้ง เมื่อเดินทางได้ไปสักครึ่งวันรู้สึกว่าพลังงานที่ทานไว้ตอนมื้อเที่ยงเริ่มหมด รถสามล้อที่พาเราไปเที่ยวโชคดีมีที่บังแดดด้านข้าง สำหรับคนกลัวแดดอย่างเราๆ แนะนำให้ทาครีมกันแดดไปหนาเลยค่ะ เพราะกลับมาผิวเปลี่ยนสีแน่นอน กรุงพนมเปญบริเวณข้างทางมีวัดมากพอสมควร 

บรรยากาศข้างทาง

วัดที่อยู่บริเวณอนุสาวรีย์อิสรภาพคือ วัดลังกา เป็นวัดสำคัญรองมาจากวัดอุณาโลมได้รับการฟื้นฟูหลังจากถูกเขมรแดงทำลายเช่นกัน ภายในวิหารมีภาพวาดชาดกต่าง ๆ ประดับไว้ โดยศาสนสถาน มีอยู่หลายแห่งในพนมเปญเหมาะสำหรับการมาเดินเที่ยวชม โดยวัดที่เก่าแก่และน่าสนใจ ได้แก่ วัดอุณาโลม ศูนย์กลางคณะสงฆ์ของกัมพูชาและถือเป็นวัดที่สำคัญที่สุด ก่อตั้งขึ้นราวศตวรรษที่ 15 ก่อนจะได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างรวดเร็วจากการทำลายของเขมรแดงอย่างหนัก มีพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตั้งอยู่ วัดโมหะมนตรี มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามซึ่งวาดขึ้นในช่วงปี 1960 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาในช่วงกลางศตวรรษที่ 20

อนุเสาวรีย์อิสรภาพ หรือ Independence monument 

หลังที่ถ่ายรูปและเมาส์มอยกับพี่ที่ขับรถเลยบอกเค้าว่าอยากไปเที่ยวสถานทีสำคัญอีกที่หนึ่งคือ วัดพระแก้วมรกต หรือ (พระราชวังหลวงหรือพระเจดีย์เงิน)พระราชวัง หลวงสร้างขึ้นราวปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศส ผสมกับเขมร แต่การตกแต่งภายในได้รับอิทธิพลมาจากพระบรมมหาราชวังของไทย เขตพระราชวังตอนบนมีพระที่นั่งเทวาวินิจฉัยหรือท้องพระโรงตั้งอยู่ตรงกลาง ผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ ท้องพระโรงนี้ใช้เป็นที่จัดงานพระราชพิธีราชาภิเษกกษัตริย์เขมร ส่วนพระเจดีย์เงินซึ่งถูกเรียกขานตามลักษณะการก่อสร้างโดยมีแผ่นพื้นทำจาก แผ่นเงินกว่า 5,000 แผ่นนั้น รู้จักกันในนามวัดพระแก้ว เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตสมัยศตวรรษที่ 17 และพระพุทธรูปทองที่หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ประดับด้วยเพชรกว่า 1 หมื่นเม็ด ปัจจุบันบริเวณเขตพระราชฐานเป็นที่ประทับของเจ้านโรดมสีหนุ ขอบคุณข้อมูลจาก: aboutvuthy.wordpress.com

ติดตาม ตอนที่ 3 ... เดินชมวัดพระแก้วมรกต หรือ (พระราชวังหลวงหรือพระเจดีย์เงิน) ในยามแดดแก่ๆ