วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวกัมพูชา-เวียดนาม ตอนรับสงกรานต์ ตอนที่ 2 Killing Flied

ต่อจากตอนที่ 1 ...หลังจากที่ไปทานอาหารและอิ่มท้องกันแล้วก็มาชม Killing Flied กันค่ะ

บัตรเข้าชมค่ะ 

ราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 2 ดอลล่าห์ค่ะ แต่ถ้าต้องการหูฟังเพื่อฟังเรื่องราวความเป็นมาด้วยก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 3 ดอลล่าห์ เป็น 5 ดอลล่าห์ ส่วนหูฟังก็มีหลายภาษาให้เลือกฟังขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้าชม ซึ่งภาษาไทยก็เป็นหนึ่งในภาษาที่ให้เลือกฟังค่ะ บรรยากาศของทุ่งสังหาร จะค่อนข้างเงียบสงบ ผู้เข้าชมค่อนข้างให้เกียติสถานที่และผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรม ครั้งนี้ โดยการบริเวณทุ่งสังหารมีการเปิดไว้อาลัย ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งถึงเรื่องราวเลยที่เดียว

นางแบบเจ้าประจำ อิอิ 

บริเวณทางเข้า โดยจะมีจุดขายบัตรด้านข้างค่ะ

หอเก็บหัวกระโหลกจากการขุดพบจากทุ่งสังหาร โดยคาดกันว่ายังไม่อีกจำนวนมากที่ยังไม่ขุดพบ

เยอะมากค่ะ 

ก่อนเข้าไปไหว้เคารพผู้เสียชีวิต อย่าลืมถอดรองเท้านะค่ะ

เถาวัลย์ธรรมชาติที่ดูแล้วสวยดีเลยเอามาฝากค่ะ 

จากมุมนี้ มองไปยังพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวของเขมรแดง

หอไว้อาลัย

เรื่องราวของสถานที่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

อนุสรณ์สถาน "ทุ่งสังหาร" ที่เจืองแอ็ก Choueng Ek ใน จ.กันดาล Kandal นอกกรุงพนมเปญ หลุมศพหมู่ยังปรากฏเรียงรายให้เห็นอยู่ นักโทษจำนวนมากถูกส่งไปจากตวลสะเลงและถูกสังหารที่นี่ด้วยวิธีการต่างๆ นานา ทุ่งสังหารเป็นตำนานแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ บ้างก็ถูกกลบฝังทั้งเป็น ณ ทุ่งแห่งนี้นับจำนวนมหาศาล บทบันทึกความเลวร้ายที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนทารุณ


อุปกรณ์การเกษตรที่ดัดแปลงมาเป็นอุปกรณ์ทรมาน

กระโหลกของเหยือผู้เคราห์ร้าย


ภาพวาดที่แสดงเรื่องราวอันน่าสลดใจ ที่คนในประเทศและทั่วโลกยากจะลืมเลือน

ทุ่งสังหารแห่งนี้คือสถานที่ ที่ฝังเหยือผู้เคราะห์ร้ายทั้งเป็นอย่างเลือดเย็น เศร้าใจมากค่ะ
จากภาพวาดที่บรรยายเรามาดูสถานที่จริงกันนะค่ะ 

แหล่งที่เคยเป็นบริเวณฝังโครงกระดูกมากมายา


บริเวณนี้ได้ถูกขุดหัวกระโหลกขึ้นมา แต่คาดว่ายังคงมีหลายจุดที่ยังไม่ถูกขุดพบ

หอยดองเค็ม สินค้าที่จะนำเสนอหน้าพิพิธภัณฑ์ แต่รสชาติยังไงต้องลองเองนะค่ะ เนื่องจากผู้เขียนไม่ทานหอย แต่ขอเตือนว่าถ้าจะทานต้องท้องแข็งพอสมควรนะ

ก่อนไปที่ต่อไปอีกสักรูป

เมื่อแสดงความเห็นถึงความรู้สึกเมื่อไปเยี่ยมชมสถานที่ทุ่งสังหาร แล้วเห็นความโหดเหี่ยมของคนที่ต้องมาฆ่ากันเองแม้แต่คนประเทศเดียวกัน ทำให้สะท้อนเห็นถึงใจคนที่อยากแท้หยั่งถึง สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมีอำนาจเพียงใดปลายของทุกคนก็มีปลายทางอยู่จุดเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่ยังคงรักษาให้นานเท่านานของคนๆหนึ่งคือคุณงามความดีและสิ่งที่ทำไว้ให้กับสังคม สาธุ.....

หลังจากไว้อาลัยเหล่าผู้เสียชีวิตเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป นั้นคือ อนุสาวรีย์อิสระภาพ หรือ Independence monument สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงการล้มล้างกลุ่มเขมรแดงและการประกาศอิสรภาพของชาวเขมร การแสดงน้ำพุเพื่อเป็นเกียรติของพวกเขาและการแสดงดนตรีตามประเพณีเขมรสำหรับเฉลิมฉลองการมาถึงของเวียดนามและชัยชนะของพวกเขาที่มีเหนือกลุ่มเขมรแดง

ผ่านปั๊มน้ำมันเลยถ่ายหน่อย

วันนี้อากาศร้อนมากก ช่วงที่มาอยู่ในช่วงเมษาอากาศที่นี้ค่อนข้างแห้ง เมื่อเดินทางได้ไปสักครึ่งวันรู้สึกว่าพลังงานที่ทานไว้ตอนมื้อเที่ยงเริ่มหมด รถสามล้อที่พาเราไปเที่ยวโชคดีมีที่บังแดดด้านข้าง สำหรับคนกลัวแดดอย่างเราๆ แนะนำให้ทาครีมกันแดดไปหนาเลยค่ะ เพราะกลับมาผิวเปลี่ยนสีแน่นอน กรุงพนมเปญบริเวณข้างทางมีวัดมากพอสมควร 

บรรยากาศข้างทาง

วัดที่อยู่บริเวณอนุสาวรีย์อิสรภาพคือ วัดลังกา เป็นวัดสำคัญรองมาจากวัดอุณาโลมได้รับการฟื้นฟูหลังจากถูกเขมรแดงทำลายเช่นกัน ภายในวิหารมีภาพวาดชาดกต่าง ๆ ประดับไว้ โดยศาสนสถาน มีอยู่หลายแห่งในพนมเปญเหมาะสำหรับการมาเดินเที่ยวชม โดยวัดที่เก่าแก่และน่าสนใจ ได้แก่ วัดอุณาโลม ศูนย์กลางคณะสงฆ์ของกัมพูชาและถือเป็นวัดที่สำคัญที่สุด ก่อตั้งขึ้นราวศตวรรษที่ 15 ก่อนจะได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างรวดเร็วจากการทำลายของเขมรแดงอย่างหนัก มีพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตั้งอยู่ วัดโมหะมนตรี มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามซึ่งวาดขึ้นในช่วงปี 1960 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาในช่วงกลางศตวรรษที่ 20

อนุเสาวรีย์อิสรภาพ หรือ Independence monument 

หลังที่ถ่ายรูปและเมาส์มอยกับพี่ที่ขับรถเลยบอกเค้าว่าอยากไปเที่ยวสถานทีสำคัญอีกที่หนึ่งคือ วัดพระแก้วมรกต หรือ (พระราชวังหลวงหรือพระเจดีย์เงิน)พระราชวัง หลวงสร้างขึ้นราวปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศส ผสมกับเขมร แต่การตกแต่งภายในได้รับอิทธิพลมาจากพระบรมมหาราชวังของไทย เขตพระราชวังตอนบนมีพระที่นั่งเทวาวินิจฉัยหรือท้องพระโรงตั้งอยู่ตรงกลาง ผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ ท้องพระโรงนี้ใช้เป็นที่จัดงานพระราชพิธีราชาภิเษกกษัตริย์เขมร ส่วนพระเจดีย์เงินซึ่งถูกเรียกขานตามลักษณะการก่อสร้างโดยมีแผ่นพื้นทำจาก แผ่นเงินกว่า 5,000 แผ่นนั้น รู้จักกันในนามวัดพระแก้ว เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตสมัยศตวรรษที่ 17 และพระพุทธรูปทองที่หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ประดับด้วยเพชรกว่า 1 หมื่นเม็ด ปัจจุบันบริเวณเขตพระราชฐานเป็นที่ประทับของเจ้านโรดมสีหนุ ขอบคุณข้อมูลจาก: aboutvuthy.wordpress.com

ติดตาม ตอนที่ 3 ... เดินชมวัดพระแก้วมรกต หรือ (พระราชวังหลวงหรือพระเจดีย์เงิน) ในยามแดดแก่ๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น